จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน

ถ้ามีหัวหน้าเป็นโทสะจริตจะรับมืออย่างไร
  หาก มีหัวหน้าที่เป็นโทสะจริต เราจะต้องให้ความเคารพนอบน้อม ระวังกริยา ระวังคำพูดเป็นพิเศษเพราะพูดผิดหรือทำผิดนิดหนึ่งก็เป็นการจุดชนวนระเบิดได้ ดังนั้น ต้องพูดนิ่มนวล เอาน้ำเย็นเข้าลูบ อย่าทำให้เขาโกรธ และห้ามใช้โทสะเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเขาจะมีเสียงดังมา เราต้องระงับอารมณ์ของเราไว้ก่อน อาจต้องทำหน้าเศร้าๆ นิดหนึ่ง จะช่วยให้เขาสงบเร็ว เราต้องทราบว่าหัวหน้าที่เป็นโทสะจริตแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาโกรธ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้วจะเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้พูดหรือได้ทำลงไป


ฟังเสียงคำบรรยาย
ตอนที่ 1

ตอนที่ 2

ตอนที่ 3

ตอนที่ 4

... คนกลุ่มประเภทที่ 4 “วิตกจริต” นี้ ดูจะน่ากลัวกว่าคนจริตอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว เพราะมักจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย มัก จะย้ำคิดในทางลบ เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ มีอัตตาสูง หยุมหยิม ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง พร้อมที่จะโยนความผิดให้คนอื่น ชอบวิจารณ์ พูดจาไม่สร้างสรรค์ทำให้คนอื่นไม่สบายใจไม่อยากร่วมงานด้วย ทำลายความสามัคคี ทำลายบรรยากาศในการทำงานที่ดี องค์กรที่มีคนกลุ่มนี้มากๆ อาจทำให้เกิดภาวะเหนื่อยใจในการทำงาน เมื่อเจอคนที่เก่งแต่พูด บางครั้ง เรียกว่า “NATO” (No Action Talk Only)


การวิเคราะห์จริตมนุษย์ 6 ประเภท
  เราคงจะได้ยินกันบ่อยว่า สามีหรือภรรยา ต่างไม่เข้าใจกันแม้จะอยู่ด้วยกันมานับสิบๆปี หรือ พ่อแม่ มักจะบ่นว่าไม่ค่อยเข้าใจลูกเลย ทำไมถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ ในที่ทำงานหลายคนกำลังกลุ้มกับหัวหน้า ที่ดูเหมือนจะศรศิลป์ไม่กินกัน จนแทบอยากจะลาออกจากงาน ส่วนหัวหน้าก็กลุ้มใจกับลูกน้อง ที่ดูเหมือนว่าสั่งงานแล้ว พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าใจบุคคลที่อยู่รอบตัวท่านได้ดีขึ้น ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการที่คนเรามักมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และมองออกไปหาคนอื่น เราแทบไม่ได้คิดจากคนอื่นกลับมาหาเรา หรือถ้าคิดก็มักคิดว่า ทุกคนต้องคิดเหมือนเราทำเหมือนเรา ถ้าไม่ทำอย่างอย่างที่เราคิด หรือคาดหวังว่าจะทำแล้ว ก็จะรู้สึกไม่สบอารมณ์

          ที่จริงแล้วมนุษย์เราแต่ละคนมีระบบความคิด ระบบการมองโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน หรือว่าอยู่ในครอบครัวเดียวกัน การที่เราสามารถเข้าใจระบบการมองโลกและระบบความคิดของเขา เราสามารถอ่านใจสามีหรือภรรยา ลูก หัวหน้าหรือลูกน้องได้ เราสามารถคาดว่า ถ้าเราพูดอย่างนี้ เขาจะโต้ตอบมาว่าอย่างไร จะไม่มีการแปลกประหลาดใจ โดยเฉพาะผู้เป็นคุณพ่อคุณแม่จะได้เข้าใจถึงลูกของตัวเองดีขึ้น หัวหน้าจะได้มอบหมายลูกน้องให้ทำงานตรงกับลักษณะนิสัย จะได้ไม่ประหลาดใจกับผลที่ได้เมื่อสั่งงานไปแล้ว ส่วนหากเราเป็นลูกน้องก็จะสามารถเข้าใจนายว่าทำไม่เขาถึงพูดถึงทำเช่นนั้น และเราจะมีทางหนีทีไล่ได้อย่างไรเมื่อไปเจอกับหัวหน้ารูปแบบแตกต่างๆ
         
            หาก คนเรามีความเข้าใจกันแล้ว สามารถคาดคะเนพฤติกรรมของกันละกันแล้ว รู้ว่าจะพูดอย่างไรทำเช่นไรกับคนประเภทต่างๆ แล้ว ความขัดแย้งก็จะลดน้อยหายไป ในทางกลับกัน เราจะรู้สึกสงสารเห็นใจ รู้จักจักประนีประนอม ถนอมน้ำใจคนอื่น เพื่อให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ที่สำคัญที่สุด เราจะได้รู้จักตัวเองดีขึ้นว่า เราเป็นคนเช่นไร คนเราส่วนใหญ่มองตัวเองไม่ออก เพราะเรามักจะมองออกไปยังคนอื่น เราไม่คอยได้มองกลับมาหาตัวเอง เราแทบจะไม่เคยสังเกตว่าเราใส่แว่นสีอะไร เพราะเราใส่มันมาตั้งแต่เกิดแล้ว เราแทบไม่เคยสังเกตระบบการมองโลก ระบบความคิด และนิสัยว่าเป็นอย่างไร เพราะเราคุ้นเคยกับมัน หรือไม่ก็คิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกับความเป็นตัวเราจนแยกไม่ออก เราไม่เคยคิดจะเปลี่ยนความคิด เพราะคิดว่ามันหมายถึงเปลี่ยนความเป็นตัวของเรา หรือเพราะคิดว่ามันเป็นธรรมชาติของเรา หนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้เราเข้าใจจิตใจ ความรู้สึก เข้าใจอารมณ์พื้นฐาน และระบบความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น
         
            เมื่อเรา เข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้เท่านั้น ท่านจึงจะสามารถเข้าใจผู้อื่น เมื่อเราเข้าใจและเกิดความเมตตาในตัวเองเท่านั้น เราจึงจะสามารถมีความเมตตาต่อผู้อื่นได้ และเราจะต้องรู้และเข้าใจตัวเราเองแล้ว เราถึงจะปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้
         
            แนว ความคิดเกี่ยวกับประเภทของจิตมนุษย์ในหนังสือเล่มนี้มีรากฐานจากคัมภีร์วิ สุทธิมรรคซึ่งผู้ประพันธ์เป็นพระอรหันต์ชาวลังกา ในคัมภีร์ดังกล่าวได้อธิบายถึงสภาวจิตของคนเรา หรือจริตมีอยู่ด้วยกัน 6 ประเภท ได้แก่ โทสะจริตหรือสภาวจิตที่โกรธง่าย โมหะจริตหรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงนอนซึมเศร้า วิตกจริตหรือสภาวจิตที่ช่างกังวลสงสัยฟุ้งซ่านเป็นอารมณ์ ราคะจริตคือสภาวจิตที่หลงติดในรูปรสกลิ่นเสียง ศรัทธาจริตคือสภาวจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามให้บรรลุถึง จุดนั้น ประการสุดท้าย พุทธิจริตคือสภาวจิตที่ เน้นการใช้ปัญญาในการหาเหตุหาผลแก้ปัญหา
         
            คำ ว่าจริตในที่นี้จึง หมายถึงสภาวจิตของเรา จากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น 6 ประเภทใหญ่ ท่านจะสามารถสังเกตได้ว่าตัวท่านเองและคนรอบๆ ตัวท่านเป็นคนประเภทใด แม้ว่าคนเราอาจมีหลายจริตประสมประสานกันอยู่ แต่จะมีจริตใดจริงหนึ่งที่เด่นกว่าจริตอื่นในแต่ละขณะเวลา

         
โทสะจริต
หากเราเป็นโทสะจริต
            คน ที่อยู่กลุ่มโทสะจริต หรือมีสภาวะอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติแล้วเป็นบุคคลผู้มีหลักการของตนเองในการทำ งานและในการกระทำต่างๆ และมักเป็นผู้เคารพกฎเกณฑ์และมีวินัยสูงกว่าจริตอื่นๆ และการที่ตัวเองมีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัยค่อนข้างสูง จึงทำให้ทนไม่ได้เมื่อมาเจอผู้ที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีเคารพหลักเกณฑ์ นอกจากนี้จะเป็นคนที่รักษาคำพูดรักษาเวลา จึงทำให้ทนไม่ได้มาเมื่อกับคนที่ไม่รักษาคำพูดไม่รักษาเวลา
         
            กลุ่ม โทสะจริตมักคาดหวังว่าโลกจะเป็นอย่างที่ตัวเอง และจากการที่ตัวเองมักจะมีระเบียบวินัยสูงกว่าคนปกติ ก็มักจะคิดว่าโลกควรจะเปลี่ยนไปเหมือนตัวเอง แต่เมื่อพบว่าโลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น และไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ก็เกิดความขุ่นเคืองลึกๆ อยู่ในใจอยู่เสมอ และพร้อมจะระเบิดออกมาได้เมื่อเจอกับผู้ที่ไม่มีความเป็นระเบียบวินัย หรือความไม่ถูกต้อง
         
            การที่ยึดมั่นในหลักการ และกฏเกณฑ์ต่างมากกว่าคนอื่นๆ ทำให้เป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้บุคคลที่เป็นโทสะจริงมีสมาธิแรงมาก แต่ในทางกลับคนที่มีพื้นฐานจิตเป็นโทสะจริตมักมีสติค่อนข้างอ่อน เพราะไม่ได้ดูโลกตามความเป็นจริง ไม่ได้ดูว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร แตกต่างกันเราอย่างไร อันที่จริงแล้วคนกลุ่มก็แทบไม่สนใจดูคนอื่นหรือดูโลกเท่าไรเลย เพราะคิดว่าโลกหรือทุกคนควรจะเปลี่ยนตัวเองไปตามหลักการหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง นั่นคือ ทุกคนควรมีวินัย ควรตรงต่อเวลา ควรเคารพกฏเกณฑ์ โลกของกลุ่มโทสะจริตเป็นโลกที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เป็นโลกที่เป็นอยู่จริง คนที่ไม่สามารถทำได้จะถูกดูว่าไม่มีความสามารถ และมีท่าทางเย้ยหยันโลก ดูถูกโลก กลุ่มโทสะจริตจึงไม่ค่อยมีความเมตตากับคนอื่นมากนัก เพราะมองว่า คนพวกนี้ทำตัวของตัวเอง ไม่รักษาคำพูด ไม่มีระเบียบวินัยเอง ดังนั้น เขาจึงได้รับผลจากกระทำของตัวเองดังกล่าว
         
            คน ประเภทโทสะจริตลึกๆ แล้วก็เป็นคนอ่อนข้างใน เพราะไม่ค่อยได้รับความรักความอบอุ่น จึงมีความน้อยใจหรือต้องการความรักความอบอุ่นอยู่ลึกๆ แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง เลยจำต้องยึดกรอบเกณฑ์ระเบียบเป็นเสมือนเป็นเกราะป้องกันความอ่อนแอภายใน และไม่ต้องการให้ใครได้เห็นความอ่อนแอดังกล่าว แต่การที่มีเกราะขึ้นมาป้องกันมากทำให้ไม่สามารถแสดงความรักความรู้สึกได้ มากเท่าไร ทำให้จิตใจค่อนข้างขุ่นเคืองเป็นประจำ
         
            เราจะสังเกตคนกลุ่มโทสะจริตได้อย่างไร
            คน ที่อยู่ในกลุ่มโทสะจริตจะมีวิธีการพูดที่ตรงๆ ไม่กลัวใคร การพูดจาจะมีพลัง เสียงดังฟังชัด ฟังแล้วน่าเกรงขาม เพราะมีสมาธิแรง แต่คำพูดค่อนข้างแรงและหนัก ฟังแล้วไม่รื่นหูคำพูดอาจไม่ไพเราะ เพราะไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนฟังเท่าไร นอกจากนี้ จะพูดค่อนข้างเร็ว เพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ทำให้ผู้อื่นรับรู้ พฤติกรรมดูหยาบและดูหนัก
         
            นอก จากนี้ยังเป็นคนพูดชี้ถูกชี้ผิด เพราะคนที่เป็นโทสะจริตเป็นคนที่คิดว่าตัวเองมีหลักการ และยึดกฏเกณฑ์เป็นที่ตั้ง ดังนั้นจะมีสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องอยู่ในใจเสมอ สิ่งไหนที่ไม่เป็นไปตามหลักการและกฏเกณฑ์ของตนเองแล้วย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูก เนื่องจากคนประเภทนี้มักจะเชื่อว่าตัวเองมีคุณธรรม มีวินัยสูง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นประเภทเจ้าระเบียบ เจ้ากฏเกณฑ์ จึงมักจะใช้หลักเกณฑ์ของตนเองเข้าชี้ผิดชี้ถูกคนอื่นอยู่เสมอ เป็นคนที่เคารพกฏเกณฑ์จึงมักทนไม่ได้ที่เห็นใครละเมิดกฏเกณฑ์ขององค์กรหรือ ของสังคม ทำให้คนอื่นมองว่าเป็นพวกชอบจับผิด
         
            หากจะดูวิธีการแต่งกายของคนที่มีลักษณะโทสะจริตจะ เห็นได้ว่า ค่อนข้างเป็นระเบียบ การแต่งตัวค่อนข้างประณีต สะอาด สำหรับสีที่ชอบจะเป็นสีฉูดฉาดหรือไม่ก็สีเข้ม เช่น แดง สีส้มสด เหลืองสด เพราะทำให้อารมณ์นิ่งสงบและเข้าสู่ภาวะปกติ
         
            คนในกลุ่มนี้จะมีการเดินที่รวดเร็วและตรงแน่ว เพราะ เขารู้ชัดเจนว่าจะเดินไปทางไหน เนื่องจากเป็นคนที่เคารพเวลาและมีวินัย จึงไม่ค่อยวอกแวก และรู้จักตัดบทเก่ง ไม่เออระเหยลอยชาย ดวงตาจะสว่างไสวและเป็นประกาย เพราะสมาธิสูง หน้าจะมีสีสันต์และพลังงาน แต่หน้าตาอาจไม่สวยไม่หล่อนัก เพราะจิตมีความขุ่นเคืองเป็นอารมณ์ ไม่แจ่มใสเบิกบาน ประกอบกับไม่มีความเมตตาทำให้ไม่มีเสน่ห์และบารมีมากนัก
         
            จุดแข็งจุดอ่อนของโทสะจริต
            จุด แข็งของบุคคลที่เป็นโทสะจริตคือ จะเป็นผู้อุทิศทุ่มเทให้กับการงานสูง สามารถทำงานได้รวดเร็ว และเป็นไปตามที่ได้รับมอบหมายไม่ผิดพลาด เนื่องจากเป็นคนที่มีสมาธิสูงอยู่แล้ว และไม่ปรุงแต่งฟุ้งซ่าน จึงฟังอะไรไม่ผิดพลาด และทำงานไม่ผิดพลาด ประกอบกับการเป็นผู้มีระเบียบวินัย เคารพกฏเกณฑ์ ทำให้เป็นใหญ่เป็นโตในหน้าที่การงานได้อย่างไม่ยากเย็นโดยเฉพาะในหน้าที่การ งานที่เน้นกฏเกณฑ์ ข้อบังคับต่างๆ การตรวจสอบความถูกต้อง เช่น ผู้ตรวจสอบบัญชี ผู้ดูแลด้านปฏิบัติการ (Operation) หรืองานของระบบราชการ
         
            เป็นคนมีระเบียบวินัยสูง ตรงต่อเวลา หากนัดหมายกับคนที่เป็นจริตนี้ ต้องตรงเวลา เพราะเขาจะมาตรงเวลาและจะดูถูกพวกที่ไม่มีวินัยไม่เคารพสัญญา และไม่ตรงเวลา
            
            เป็นนักวิเคราะห์ที่เก่ง เพราะมองอะไรตรงไปตรงมาไม่ปรุงแต่ง
จึงสามารถมองเห็นเหตุมองเห็นผลได้ชัดเจน จึงเหมาะเป็นผู้ร่วมวางแผน เป็นผู้ที่สามารถพึ่งพาได้ เนื่องจากเป็นผู้มีหลักการ ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ไม่มั่วไม่ใช้อารมณ์หรือเล่นพวกเล่นพ้อง
         
            มีความจริงใจต่อผู้อื่นพูดอะไรเป็นคำไหนคำนั้น ไม่ เป็นคนแทงคนข้างหลัง แต่อาจแทงข้างหน้าเลย หากจะด่าก็จะด่าต่อหน้าไม่ด่าลับหลัง และจะด่าทันทีท่ามกลางที่ประชุมหรือสาธารณชนได้โดยไม่หวั่นเกรงหรือหวั่นไหว ต่อสายตาหรือความรู้สึกใดเหมือนคนจริตอื่นๆ การที่มีลักษณะดังกล่าวทำให้คนที่เป็นโทสะจริตจะเป็นที่เกรงขามหรือเกรงกลัว ของคนอื่นโดยธรรมชาติ
         
            เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีน้ำผึ้งผสม ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดคำไหนเป็นคำนั้น ทำให้เป็นผู้ที่ แม้จะไม่น่าคบแต่ก็น่าทำธุรกิจด้วย เป็นคนไม่ค่อยโลภเพราะอยู่ในโลกของความคิด โลกของความน่าจะเป็น โลกของหลักการและ กฏเกณฑ์มากกว่าโลกของวัตถุสิ่งของ
            
            จุดอ่อนคนที่มีโทสะจริตที่สำคัญคือ โกรธทั้งวัน
อะไร ผิดหูนิดๆ หน่อยไม่ได้ ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวเป็นนิจ ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่น่าคบค้าสมาคมของผู้อื่น อารมณ์ที่ขุ่นมัวขุ่นเคืองอยู่เสมอนำมาสู่ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย จึงทำให้คนจริตนี้มักจะมีโรคภัยไข้เจ็บซึ่งเป็นผลจากอารมณ์โกรธและความไม่ ผ่องใสของจิตได้ง่าย
         
            การใช้คำพูดที่ก้าว ร้าวรุนแรง ตลอดจนเสียดสีจิตใจผู้อื่นเป็นการสร้างวจีกรรมอยู่ตลอดเวลา สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับผู้อื่น เกลียดชัง และอาจทำไปสู่การทะเลาะวิวาทค่อนข้างบ่อย นอกจากนั้น การชอบจับผิดคนอื่น หรือมองคนอื่นว่าไม่เก่ง หรือมีความสามารถเท่าตัวเอง มีนิสัยค่อยข้างเหย่อหยิ่งอวดดี ทำให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยราบรื่น มักจะต้องอยู่คนเดียวไม่มีเพื่อนหรือต้องอยู่เป็นโสด ไม่แต่งงานเพราะหาคนที่ดีพอเท่าตัวเอง หรือมีระเบียบเท่าตัวเองไม่ได้ ถ้าแต่งงานก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เพราะอีกฝ่ายรู้สึกว่าเหมือนเข้าอยู่โรงเรียนประจำ การที่อยู่ในโลกของกรอบ โลกของหลักการและหลักเกณฑ์ทำให้ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีความคิดริเริ่มอะไรที่แหวกแนว การที่พูดจาตรงไปตรงมาไม่สนใจความรู้สึกคนฟังทำให้แทบไม่มีความถนัดด้านการ ตลาด
         
            นอกจากนี้ คนที่มีลักษณะโทสะจริตมักจะตกอยู่ในหลุมกลของนิสัยตัวเอง เพราะการที่แสดงความโมโหเกรี้ยวกราดมักจะนำมาสู่ความเกรงกลัว นำมาสู่อำนาจเหนือผู้อื่น และมักจะนำมาสู่สิ่งที่ตัวเองประสงค์อยู่เสมอ ทำให้เป็นการบ่มเพาะนิสัยช่างโมโหของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และยากที่แก้นิสัยดังกล่าวได้
         
            คน กลุ่มโทสะจริตนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับศาสตร์ตะวันตก ก็คือคนที่แสดงบทบาทของ “ฉลาม” คือการใช้อำนาจบังคับ (Forcing) โดยให้ความสำคัญกับความสำเร็จของงานมากกว่าการรักษาสัมพันธภาพที่ดี อ่านได้จากบทความข้างล่างนี้

ถ้าท่านเป็นโทสะจริตต้องทำอย่างไร
         
            ถ้า ท่านเป็นโทสะจริต จุดเดือดของท่านจะต่ำ ท่านจะโมโหง่าย รำคาญคนง่าย หากท่านเริ่มรู้ตัวว่า เริ่มโกรธเริ่มโมโหเริ่มรำคาญใจ ให้ทำตัวเป็นขอนไม้นิ่ง ต้องหยุดมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรมที่เป็นอกุศลก่อน เพราะจะนำมาซึ่งความเสียหายทั้งต่อตัวเองและคนอื่น การสร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่นไม่ว่าจะโดยวจีกรรมหรือกายกรรมก็ตาม ในที่สุดแล้วจะส่งผลกลับมาให้ตัวเราเอง ดังนั้น หากอารมณ์ท่านเริ่มขยับด้วยความโกรธแล้ว ให้ทำตัวเป็นขอนไม้ มิฉะนั้นจะสร้างกรรมเพิ่มมากขึ้น
         
            คนที่เป็น โทสะจริตจะอยู่ในอารมณ์ เมื่อเกิดความโกรธ หรือโมโหก็มักไม่ค่อยรู้ตัวว่า กำลังโกรธหรือโมโหอยู่ จะรู้อีกทีก็เมื่อหายโมโหแล้ว ซึ่งในขณะนั้น ท่านอาจจะพูดหรือทำอะไรไปแล้วมากมายโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจต้องเสียใจภายหลัง จึงขอให้ท่านหัดลองสังเกตดูอารมณ์ของตัวเองเป็นประจำ ถามตัวเองอยู่เสมอว่า ตอนนี้รู้สึกอะไร รู้สึกดีใจ รู้สึกเสียใจ รู้สึกรำคาญ รู้สึกโกรธ ท่านจะสังเกตุเห็นว่า อารมณ์ของทางจะค่อนข้างมีแต่ความขุ่นเคือง รำคาญ อึดอัด มากกว่าความรู้สึกอื่น เพราะส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านได้สร้างกรอบตัวเองไว้ขังตัวเองค่อนข้างมากอยู่ แล้ว ท่านได้ขีดเส้นให้ตัวเองเดินซ้ายเดินขวาอยู่ตลอดเวลา แต่การที่ท่านฝึกถามไปเรื่อยๆ จะทำให้เริ่มเห็นอารมณ์ของท่าน ในยามที่ความโกรธกำลังจะครอบงำจิตใจของท่านนั้น หากท่านเริ่มเห็นอารมณ์ในยามนั้น เห็นความโกรธเกรี้ยวของสภาวะอารมณ์ในยามนั้นแล้ว ก็จะช่วยดึงสติกลับมาก่อนที่ท่านจะทำอะไรรุนแรงไป เป็นการเตือนสติให้รู้จักความผ่องใส ให้รู้จักการปล่อยวาง ทำให้อารมณ์ที่กำลังจะเพิ่มระดับความรุนแรง พอคลายลงมาได้บ้าง
         
            เจริญ เมตตาให้มาก คนในจริตนี้มักจะทำร้ายผู้อื่นได้ง่ายกว่าจริตอื่นๆ คนซึ่งมีการขัดเกลาทางด้านจิตใจน้อยหน่อย ก็อาจจะทำร้ายผู้อื่นทางร่างกาย แต่ผู้มีการขัดเกลาทางจิตใจมากขึ้นหน่อยก็จะทำร้ายผู้อื่นทางวาจา แต่ไม่ว่าท่านจะทำร้ายด้วยวิธีใดโดยจะรู้ตัวหรือไม่ หากเริ่มโมโหหรือโกรธ ขอให้รีบเจริญเมตตาต่อผู้อื่น เพราะความโมโห หรือโกรธจะหยุดด้วยความเมตตา หากโมโหมากๆ ให้เหลือบดูสีหน้าของบุคคลที่อยู่รอบข้าง ซึ่งมีความทุกข์และความเศร้าพอเพียงอยู่แล้ว ท่านไม่ควรซ้ำเติมให้เขามีความทุกข์กายทุกข์ใจมากกว่านี้ ให้คิดว่า การทำร้ายด้วยวจีกรรม ก็ไม่กับต่างกับการทำร้ายด้วยพละกำลัง การเจ็บกายอาจหายได้ แต่การทำให้คนอื่นเจ็บใจนั้น จะฝังอยู่เนินนาน ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างกรรมที่รุนแรงกว่าการกระทำเสียอีก
         
            ฟัง เสียงที่ตัวเองพูด ว่าเป็นอย่างไร น้ำเสียงชวนให้เป็นมิตรหรือสร้างศัตรู น่าติดตามฟัง น่าเชื่อถือ หรือว่าน่าเบื่อ ชวนรำคาญ และฟังว่าคำพูดที่ออกมาง่ายต่อการเข้าใจหรือเปล่า ปกติคนที่เป็นโทสะจริตมักไม่ค่อยฟังเสียงตัวเอง หากเราฟังเสียงของเราที่เปล่งออกมาแล้ว เราก็จะ เลิกสงสัยเสียทีว่า ทำไมเราพูดอย่างนี้แล้วเขาถึงยังไม่เข้าใจเรา หรือทำไมเขาถึงไม่ชอบเรา ทำเขาถึงโกรธหรือโมโหเรา
         
            ให้เริ่มคิดว่าโลก นี้ไม่ต้องจริงจังมากนัก โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ คนที่เป็นโทสะจริตมักจะพยายามสร้างกรอบ ขีดเส้นให้กับตัวเอง ในแง่ดีแล้วทำให้เป็นคนมีวินัย แต่ในแง่เสียคือ มีความอึดอัดเป็นอารมณ์ ไม่สามารถแสดงความรู้สึก ความปรารถนาของตัว ไม่สามารถทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการ เพราะโดนจำกัดด้วยความคิดที่ว่า ควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เพียงแต่จะพยายามวางกรอบให้กับตัวเอง คนในจริตนี้จะพยายามวางกรอบให้กับคนอื่นไปด้วย กล่าวง่ายๆ เหมือนกับจะพยายามควบคุมโลกให้เป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการ ดังนั้น เมื่อบุคคลอื่นเข้าใกล้ผู้เป็นโทสะจริตจะรู้สึกอึดอัดไปด้วย และโดยปกติแล้วมักพยายามหลีกเลี่ยง หนทางแก้ไขประการหนึ่งก็คือ ขอให้ปล่อยๆ วางๆ บ้างอย่างไปจริงจังมาก การมีวินัยเป็นสิ่งดี แต่การสร้างกรอบการขีดเส้นให้กับชีวิต ก็เหมือนการถูกพันธนาการ เหมือนกับการเอาจิตใจตัวเองล่ามพันธนาการเอาไว้ จิตใจจึงเหมือนถูกบีบถูกกดเอาไว้ตลอดเวลา ทำให้จิตไม่ผ่องใส ไม่เบิกบาน และทำให้ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จะอยู่แต่ในกรอบเก่าๆ ของตัวเองตลอดเวลา
         
            ต้องใจกว้างรับความคิด ใหม่ๆ ไปพิจารณา เนื่องจากคนจริตนี้มักมีกรอบมีระเบียบบางประการ และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เหล่านั้น หากกรอบความคิดดังกล่าวถูกต้องก็ดีไป นำพาชีวิตไปสู่ความก้าวหน้า แต่ถ้ากรอบดังกล่าวไม่ถูกต้องชีวิตก็จะติดหล่มกับดักของความคิดตัวเอง คนที่เป็นโทสะจริตต้องพยายามพิจารณาทบทวนกฏเกณฑ์ของตัวเองที่ว่าต้องทำนั่น ต้องทำนี่ ว่ามันถูกต้องและใช้ได้เหมาะสมกับกาละและเทศะมากน้อยเพียงใด และต้องเปิดใจกว้างรับฟังความคิดใหม่ๆ เพื่อนำไปคิดไปพิจารณา มิฉะนั้น ชีวิตจะไม่สามารถออกจากวังวนของพฤติกรรมเดิมได้
         
            ต้อง คิดก่อนพูด คิดให้นานๆ เข้าไว้ เพราะโทสะจริตจะเริ่มจากพูดไปก่อนและค่อยมาคิดทีหลัง และมักจะเสียใจภายหลังในสิ่งที่ตัวเองได้พูดได้ทำไปแล้วอยู่เสมอ
         
            ให้พิจารณาว่าความโกรธทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของร่างกาย ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหาร ระบบฮอร์โมน และโรคเก๊าท์
         
            ถ้ามีลูกน้องเป็นจริตนี้จะทำอย่างไร
            คน จริตนี้เป็นลูกน้องที่ดีและเพื่อนร่วมงานที่ดี เชื่อถือได้ ไม่โกง เป็นคนมีสัมมาคารวะให้การเคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจมากกว่าหรือตำแหน่งสูงกว่า และถ้าเราสามารถได้ใจเขาก็จะสบายเพราะจะได้แม่ทัพที่ค่อนข้างเข้มแข็ง มีวินัย คอยรักษากฎเกณฑ์ของสำนักงาน ทำงานใหญ่ได้เนื่องจากเป็นคนที่อุทิศทั้งแรงกายและแรงใจอยู่แล้วตามธรรมชาติ งานมักออกมาค่อนข้างเรียบร้อย ไว้วางใจได้ นอกจากนี้ มักมีนิสัยชอบเป็นครู ชอบแนะนำสอนคนอื่นอยู่เสมอ
         
            หากท่านมีลูก น้องที่เป็นโทสะจริต ประการแรกท่านต้องมีปิยะวาจา ต้องทำใจ ลดความเป็นตัวตนลง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นนิ่งในการโน้มน้าวหรือสั่งการ ท่านอาจต้องพูดแบบมธุรสวาจามากหน่อย เพราะคนที่เป็นโทสะจริตชอบกินขนมหวาน แม้พูดหวานเขาก็รู้สึกธรรมดา ค่อยๆ พูดอย่างละมุนละไม แม้ผู้พูดเองจะรู้สึกหวานมาก แต่สำหรับคนที่เป็นโทสะจริตจะดูว่า เป็นเรื่องธรรมดาและเห็นว่าโลกควรจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ให้คิดถึงนิทานเรื่องโคนันทวิศาล ซึ่งหากใช้คำพูดไม่เพราะหู นอกจากจะไม่ยอมเดิน อาจจะขวิดท่านได้ การพูดจาไม่ไพเราะจะบีบคั้นจิตใจเขามาก
         
            ต้อง ใช้กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์เข้าคุยกัน ทุกอย่างทุกเรื่องว่ากันไปตามกฎเกณฑ์ เพราะตัวเขาเป็นคนเคารพหลักการและกฎเกณฑ์อยู่แล้ว ห้ามใช้อารมณ์อำนาจบาตรใหญ่ไปบีบบังคับเขาให้ทำโน่นทำนี้ เพราะถ้าไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ เขาก็ไม่ทำ หากไปบีบเขา เขาจะเป็นคนประเภทยอมหักแต่ไม่ยอมงอ
         
            ต้องมี ความจริงใจ มีความซื่อตรงเป็นอารมณ์ คนจริตนี้มีความตรงไปตรงมาสูง บางครั้งก็ตรงเสียจนน่าตกใจ เวลาคุยกับลูกน้องท่านที่เป็นจริตนี้ต้องพูดตรงไปตรงมา
         
            ต้องไม่ควบคุมเขาทุกขั้นตอน เพราะเขามีความรับผิดชอบสูง มิฉะนั้น หากจะจู้จี้ จะนำไปสู่การทะเลาะความขัดแย้ง
         
            ถ้ามีหัวหน้าเป็นโทสะจริตจะรับมืออย่างไร
            หาก มีหัวหน้าที่เป็นโทสะจริต เราจะต้องให้ความเคารพนอบน้อม ระวังกริยา ระวังคำพูดเป็นพิเศษเพราะพูดผิดหรือทำผิดนิดหนึ่งก็เป็นการจุดชนวนระเบิดได้ ดังนั้น ต้องพูดนิ่มนวล เอาน้ำเย็นเข้าลูบ อย่าทำให้เขาโกรธ และห้ามใช้โทสะเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเขาจะมีเสียงดังมา เราต้องระงับอารมณ์ของเราไว้ก่อน อาจต้องทำหน้าเศร้าๆ นิดหนึ่ง จะช่วยให้เขาสงบเร็ว เราต้องทราบว่าหัวหน้าที่เป็นโทสะจริตแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาโกรธ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปแล้วจะเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้พูดหรือได้ทำลงไป
         
            คน ที่มีลักษณะโทสะจริตจะมีสมาธิแรงอยู่แล้ว และยิ่งอยู่ในอารมณ์โกรธแล้วความรุนแรงจะเพิ่มพูนขึ้น ดังนั้น เราต้องเตรียมสติและเร่งสมาธิให้ดี ที่สำคัญคือ ต้องพูดจาด้วยเหตุด้วยผล ต้องคิดไตร่ตรองมาก่อนให้ละเอียดรอบคอบ มีการคิดอย่างดีก่อนพูดแต่ละคำแต่ละประโยค เจ้านายประเภทนี้จะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติหากมาพูดโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน ล่วงหน้า นอกจากนี้ เราต้องมีการเตรียมประเด็น พูดให้ตรงประเด็นเพราะเขาไม่มีความอดทนพอจะฟังความคิดที่วกวนไม่ตรงประเด็น และมีเหตุผลหนักแน่นมาก่อน มิฉะนั้นจะยิงทันที และห้ามใช้เหตุผลอย่างข้างๆ คู ๆ เพราะหัวหน้าที่เป็นโทสะจริตจะดูถูกคนไม่มีเหตุผล และเราจะถูกสับเป็นชิ้นเล็กๆ
         
            เวลาคุยกับหัวหน้าประเภทนี้ ห้าม ทำท่ากลัวหรือประหม่า เพราะเขาจะมีน้ำเสียงติเตียนอยู่แล้วเป็นนิสัยและมักจะมีความโกรธเป็นควัน หลงจากเรื่องอื่นในอดีตอยู่บ้าง แต่ถ้าเรายิ่งไปทำท่าทางกลัวจะทำให้เขาดูถูกมากกว่าสงสาร ต้องทำใจให้เสมือนเป็นน้ำ มีความสงบ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ยิ้มแย้มแจ่มใส  


โมหะจริต
           คนที่มีลักษณะโมหะจริตจะเป็นคนที่ง่วง ๆ ซึมๆ ประเภท ง่วงเหงา งาวนอนเป็นอาจิณ อ่านหนังสือ หรือฟังบรรยายประเดี๋ยวเดียวก็ตาปรอย หรือหลับไปเลย เป็นคนซึมๆ งงๆ ไม่รู้จะทำอะไร ปกติจะไม่ชอบทำอะไรถ้าไม่มีใคร หรือสถานการณ์มาบังคับ ชอบนั่งเฉยๆ
         
            อารมณ์พื้นฐานคือความเบื่อและความเซ็ง ทำ อะไรรู้สึกว่ายากไปหมด รู้สึกเกินความสามารถ แต่ตัวเองก็มักใช้ความพยายามน้อย เพราะมีสมาธิค่อนข้างต่ำ พลังเลยไม่ค่อยมี ทำอะไรจะรู้สึกว่าเบื่อก่อนที่งานนั้นจะเสร็จ และลึกๆ จะมีความเศร้าอยู่ในใจ เพราะมักคิดถึงตัวเองในทางไม่ดีอยู่เสมอ มักจะคิดว่าตัวไม่มีคุณค่า น้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกตัวเองต่ำต้อย ไร้ความสามารถ ไร้วาสนา เป็นคนที่น่าสงสารตรงที่ได้วางโปรแกรมที่ทำลายตัวเองไว้ในความคิดตั้งแต่ต้น
         
            คนที่เป็นโมหะจริตมักจะมองเข้าข้างใน ไม่ค่อยมองออกข้างนอก คือ ถ้าจะคิด มักจะนึกคิดเฉพาะเรื่องของตัวเอง กลุ้มใจกับเรื่องของตัวเอง เสียใจกับปัญหาของตัวเอง จนแทบไม่ได้คิดว่าคนอื่นเขามีปัญหาอะไรบ้าง จะช่วยเขาได้อย่างไร การที่หมกหมุ่นกับเฉพาะเรื่องตัวเองทำให้คนที่เป็นโมหะจริตดูเหมือนจะมีจิต ใจค่อนข้างคับแคบ และไม่ค่อยสนใจโลก ไม่สนใจคนอื่นๆ มากนัก การที่สนใจเฉพาะปัญหาตัวเองทำให้ไม่ได้มีเป้าหมายชีวิตอะไรที่สูงส่งมากนัก ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงอะไรเพื่อผู้อื่นเพื่อสังคม ทำให้แรงขับเคลื่อนพลอยต่ำลงไปด้วย
         
            แต่เป็นคนดี ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม เพราะ ไม่คิดอิจฉาริษยาใคร ไม่คิดทำร้ายใคร ไม่คิดจะทำให้ใครเดือนร้อน ที่จริงแล้วไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับใคร หรือเปลี่ยนแปลงใครอยู่แล้ว และตัวเองมักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมการที่เป็นคนดีจึงไม่ก้าวหน้า หรือประสบความสำเร็จ ทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกไร้โชคไร้วาสนาอยู่ในใจลึกๆ
         
            เป็นคนที่อยู่ในสมองด้านขวา ชอบสบายๆ ไม่ชอบคิดอะไรอย่างเป็นระบบ ละเอียด ซับซ้อน แต่ชอบฝันไปเรื่อยๆ ฝันไม่เป็นเรื่องเป็นราว และไม่สามารถเอาความฝันไปทำประโยชน์ได้เพราะสมาธิไม่มากพอ การที่คิดไม่เป็นระบบและคิดสะเปะสะปะทำให้ไม่สามารถแสดงความคิด หรือพูดจาอะไรออกมาได้ ดังนั้น มักจะเป็นคนเงียบไม่ค่อยพูด
         
            เป็นคนที่จิตใจอ่อนไหว แตะนิดแตะน้อยจะเสียใจ ใจน้อย จึงไม่ชอบคนประเภทโทสะจริตเพราะจะรู้สึกถูกคำพูดทิ่มแทงใจ
         
            จะมีดวงหน้าที่ดูเศร้าๆ ซึ้งๆ โรแมนติก ดวงตาค่อนข้างมืดดำไม่เป็นประกาย
         
            มักเป็นคนพูดจาเบาๆ นุ่มนวล อ่อนโยน อารมณ์ไม่ค่อยเสีย ไม่ ค่อยโกรธใคร ช่างยิ้มแต่ยิ้มแบบเบื่อๆ ไม่ชอบเข้าสังคม จะรู้สึกเคอะเขินไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร จะพูดอย่างไร เหมือนไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากทำตัวให้เป็นจุดเด่นจุดสนใจของคนอื่นมากนั้น หากไปนั่งขอบๆ หรือหลังๆ ก็จะรู้สึกอบอุ่น
         
            สำหรับการเดิน คนในจริตนี้ปกติแล้วจะเดินแบบขาดจุดมุ่งหมาย ขาด ความมุ่งมั่น ไร้เรี่ยวไร้แรง ในวิสุทธิมรรคได้เปรียบเทียบการพูดเหมือนคนกวาดบ้าน สำหรับผู้เป็นโทสะจริตจะรีบกวาดให้เสร็จๆ อย่างรวดเร็วและมีพลัง แต่บุคคลที่เป็นโมหะจริตจะกวาดเป็นวงกลม ไม่เสร็จเสียที
         
            การแต่งกาย จะชอบสีอ่อนๆ หรือไม่ก็สีเศร้าๆ ทึมๆ เช่น เทา น้ำเงิน เขียวเข็ม
         
            บ้าน ของคนในกลุ่มนี้ ไม่ชอบแสงสว่างมากนัก ชอบปิดม่าน เปิดเพลงค่อยๆ เบาๆ บ้านไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนโทสจริต แต่ก็ไม่รกรุงรัง
         
            ข้อดีข้อเสียของผู้เป็นโมหะจริต
            ผู้ ที่มีลักษณะโมหะจริตมีข้อดี คือ เนื่องจากไม่ค่อยคิดฟุ้งซ่านมากนัก จึงเข้าใจอะไรได้ค่อนข้างชัดเจน โดยไม่ปรุงแต่ง เมื่อมองอะไรเห็นได้ชัดเจนก็มักจะมีการตัดสินที่ดี ถ้าคิดออก
         
            เป็นคนที่หนักใช้สมองด้านขวา จึง มีความรู้สึก และมักใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ ทำให้มักตัดสินไม่ค่อยพลาด ดังนั้นแม้เหตุผลจะเถียงสู้คนอื่นไม่ได้มากนัก หรือพูดไม่ทันจริตอื่นๆ แต่มักมีญาณสังหรณ์ที่ถูกต้องในการตัดสินใจ
         
            อีกประการหนึ่ง เนื่องจากมักใช้สมองด้านขวา จึงไม่ค่อยทุกข์เหมือนจริตอื่น ไม่ค่อยเป็นจิตโรคประสาท ไม่เครียด แต่จะซึมเศร้าหากไม่มีอะไรมากระตุ้น
         
            เป็นคนที่ทำงานเก่งโดยเฉพาะงานที่เป็นงานประจำ ไม่ใช่งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากนัก เพราะไม่คิดฟุ้งซ่าน งานจึงเสร็จตามเวลา
         
            เป็นคนดี เป็นเพื่อนที่น่าคบ น่า รัก ไม่สร้างกรรมชั่ว ทั้งในด้านความคิด การพูด และการกระทำ คือ ไม่คิดร้าย ไม่โกง ไม่หลอกลวง ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ส่อเสียด ไม่พูดจาให้คนเสียใจ มีสติสูง เป็นคนที่วางใจได้
         
            แม้ จริตนี้ไม่สร้างปัญหาให้กับคนอื่นและสังคม แต่จริตนี้มีข้อเสียสำคัญคือ การใส่ซอฟแวร์ในความคิดที่ทำลายตัวเอง โดยมองตัวเองไม่ตรงความเป็นจริง แต่ต่ำกว่าความเป็นจริง รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ทำไม่ได้ ไม่มีความสามารถ สู้คนอื่นไม่ได้ ไม่ทันโลก เมื่อไปเจอคนจริตอื่นๆ เช่น โทสะจริต หรือวิตกจริตที่มักจะดูถูกจริตนี้ว่า ไม่มีหลักการ เหตุผล หรือความคิด เป็นการย้ำความคิดที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับตัวเองให้มากยิ่งขึ้น และทำให้มองว่า โลกนี้โหดร้ายไม่ยุติธรรม ทำไมคนดีโลกไม่สนับสนุนแต่กลับกลั่นแกล้งซ้ำเติม
         
            การ ที่รู้สึกขาดความมั่นใจอยู่ตลอดเวลาและเมื่อเกิดอะไรจะโทษตัวเองอยู่เรื่อยๆ ทำให้ต้องการกำลังใจเป็นสายน้ำเกลืออยู่เสมอ หากไม่มีก็จะไม่เจริญเติบโต ทำให้ไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองตามลำพังเท่าไร ยิ่งถ้าไปอยู่ท่ามกลางคนเป็นโทสะจริตและวิตกจริตซึ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่ ตำหนิติเตียนด้วยแล้วจะรู้สึกเฉาไปเลย เพราะเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกไม่มั่นใจของตัวเองอยู่แล้ว
         
            นอก จากนี้ การที่รู้สึกเบื่อและเซ็งง่าย เพราะสมาธิค่อนอ่อนและสั้น ไม่ชอบทำงานหนัก ไม่ชอบอ่านหนังสือ ทำให้ไม่ค่อยมีข้อคิดหรือความรู้ จึงทำให้ยากที่จะสามารถทำการใหญ่ได้สำเร็จ
         
            การขาดสมาธิทำให้ไม่มีพลัง ประกอบ กับขาดความมั่นใจในตัวเองทำให้ไม่มีความเป็นผู้นำ และตัวเองก็ไม่อยากจะนำใครอยู่แล้ว แต่จะมีปัญหาหากมีตำแหน่งสูงขึ้น เพราะไม่สามารถปกครองลูกน้องได้
         
            ชอบโรแมนติก ใช้อารมณ์มากกว่าความคิด มักใจน้อย อย่าไปพูดแรงเพราะอารมณ์อ่อนไหว เจ็บปวดใจได้ง่าย
         
            หากท่านเป็นโมหะจริต
            ตั้ง เป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน โดยพยายามมองออกไปจากตัวเองให้มากขึ้น คิดถึงคนอื่นๆ ให้มากๆ ไม่ว่าจะลูก สามีหรือภรรยา และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ว่าจะทำอะไรให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้ชีวิตมีทิศทาง เกิดมีพลังว่าเราจะต้องไปบรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ ทำให้ตัวเองมีคุณค่ามีบทบาทต่อชีวิตคนอื่น
         
            ฝึกสมาธิ ไม่ ว่าจะสวดมนต์ หรือนั่งสมาธิ เพื่อเสริมสร้างจิตให้มีพลังมากขึ้นเมื่อไปเจอกับโลกข้างนอกหรือสถานการณ์ ที่ไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคาดหวังจะได้รับมือได้ทัน ลดความหวั่นไหวของจิตใจของอารมณ์ตัวเอง ฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว เพราะจิตอยู่ในอารมณ์ ควรกระตุ้นด้วยการเอาจิตไปจับฐานกาย ว่าประสาทสัมผัสรู้สึกอย่างไร นอกจากนี้ อาจฝึกโดยเล่นกีฬาเพราะต้องควบคุมกล้ามเนื้อและอวัยวะส่วนต่างๆ หรือไม่หัดฝึกสมองด้านซ้ายในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การเต้นรำลีลาศเพราะมีระบบระเบียบ
         
            อ่านหนังสือมากไว้เพื่อให้สมองด้านซ้ายทำงาน
         
            คิด ว่าเราอาจไม่ได้ทำการใหญ่ ต้องพิจารณาเรื่องความตาย เพื่อใส่สัมมาดำริเรื่องมรณานุสติ เพื่อตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน เพราะชีวิตไม่จีรังยั่งยืน อาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องไม่ประมาท มีอะไรก็ต้องรีบกระทำ จะได้ลดแรงเฉื่อย ขจัดความเบื่อความเซ็งในชีวิต
         
            มีหัวหน้าเป็นโมหะจริต
            มักจะสั่งงานไม่เป็น ลูกน้องจะทำอะไรมาก็ได้ ไม่ใส่ใจงานมากนัก มีพลังความเฉื่อยชากระจายไปทั่วสำนักงาน เป็นคนค่อนข้างใจอ่อน แต่ลูกน้องพึ่งพามากไม่ได้ เพราะหากมีการประชุมและต้องเผชิญกับพวกวิตกจริตแล้ว จะคิดไม่ทัน เถียงไม่ทัน ประกอบกับเป็นคนมีความอ่อนไหวสูง จะคิดเล็กคิดน้อย
         
            ต้องคอยพยายามชี้แนะหัวหน้าว่า ควรจะทำอะไรด้วยเหตุด้วยผล หัวหน้าจะรัก
         
            ถ้ามีลูกน้องเป็นโมหะจริต
            ถ้าลูกน้องเป็นโมหะจริตต้องชี้แนะอย่างสม่ำเสมอ ต้องบอก กำหนดเวลา ต้องทวงงาน และบอกขั้นตอนว่าจะให้ทำอะไรซ้ายขวาหน้าหลัง เพราะคิดไม่ค่อยเป็น แต่เมื่องานเดินเป็นระบบแล้ว จะสามารถทำงานได้ดี
         
            ไม่ควรใช้อารมณ์ดุ เพราะ ถ้าไปดุจะทำให้หมดกำลังใจ เพราะไม่ค่อยมีความมั่นใจอยู่แล้วให้นึกเหมือนกับเป็นน้อยหน่าสุก ถ้าไปบีบแรงๆ อาจเละได้ง่าย หรือเป็นแก้วเปราะบาง ถ้าไปแตะแรงจะแตกได้ง่าย
         
            คน กลุ่มโมหะะจริตนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับศาสตร์ตะวันตก ก็คือคนที่แสดงบทบาทของ “เต่า” คือ การหลีกเลี่ยงถอยหนี (Withdrawing) ธรรมชาติของเต่า คือ เมื่อมีภัยจะหดตัวหดหัวอยู่ในกระดอง เมื่อปลอดภัยแล้วจะยืดออกมา เต่าจะไม่สนใจเป้าหมายของงาน และไม่สนใจความสัมพันธ์ของบุคคล 


 ราคะจริต
           คนที่มีลักษณะราคะจริตจะเป็นผู้ที่ชอบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นคนจิตประณีตละเอียดอ่อน จิตจะเกาะอยู่ในสัมผัสทั้งห้าอยู่ตลอดเวลา
         
            เป็นคนที่ชอบในเรื่องของรูปลักษณ์ จะ เป็นคนแต่งตัวเก่งออกมาดูสวยงาม ดูเก๋และเท่ น่าชวนมองชวนดู เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีบุคลิกดี มีมาด เพราะมีสติค่อนข้างสูง จึงสามารถควบคุมอิริยาบถของร่างกายตัวเองได้ค่อนข้างถี่ถ้วน อย่างเช่น ถ้ายืนอยู่ ก็จะรู้ว่าจะต้องวางตำแหน่งเท้าเช่นไร ตำแหน่งมือจะสูงต่ำมากน้อยแค่ไหน หลังต้องเหยียดตรง จะยิ้มประมาณไหนถึงจะออกมาดูดี จะออกมาดูน่ารัก และดูมีมาดในทางกลับกัน ก็จะชอบคนที่มีบุคลิกดีเป็นสิ่งสำคัญ ชอบความสวยงามของสิ่งของ และสถานที่ จะชอบไปสถานที่ที่สวยงามและหรูหรา ส่วนจะมีสาระหรือประเทืองปัญญาหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ พยายามหลีกเลี่ยงความสกปรก ความไม่สวยงามของรูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสถานที่
         
            แต่คนกลุ่มนี้มักสติหลุดควบคุมจิตใจไม่ค่อยได้มากกว่าจริตอื่นๆ หากไปเจอเพศตรงข้ามที่มีรูปลักษณ์ดี จะมีอาการยิ้มหวาน ตาเยิ้ม หรือไม่ก็มีจริตจะก้านต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด
         
            เวลาพูดก็จะสามารถควบคุมน้ำเสียงให้ออกมาไพเราะนุ่มนวล ที่สำคัญคือ คำพูดที่ออกมาจะเต็มไปด้วยมธุรสพจนา มีคำหวานหูเต็มไปไปหมด ระมัดระวังคำพูดมาก จะหลีกเลี่ยงคำพูดที่จะทำร้ายความรู้สึกคน สามารถพูดออกมาได้หวานแต่ใจอาจคิดอีกอย่างได้เป็นนิสัย ในขณะเดียวกันชอบคำพูดหวานหูเช่นเดียวกัน ชอบคำพูดเอาอกเอาใจ จะจริงใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้ได้ยินคำหวานเอาไว้ก่อน สิ่งที่คนในจริตนี้ทนไม่ได้คือ คำพูดเสียงดัง ตะคอก หยาบ ซึ่งได้ยินแล้วหัวใจเสมือนจะแตกสลาย พร้อมจะสู้ตาย
         
            เป็นคนชอบแสวงหาของอร่อยทาน ไม่ ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลแค่ไหนก็จะต้องไปแสวงหามาทาน เนื่องจากจิตไปเกาะตรงรูปรส ซึ่งจะต้องได้รับการสนองตอบ รวมทั้งสิ่งของต่างๆ ที่สวยงาม ไม่ว่าเสื้อผ้าหรือสิ่งประดับ ต้องไปซื้อไปหามาครอบครอง
         
            เป็นคนชอบจินตนาการ ช่างฝัน อยากจะได้โน่นได้นี่ อยากจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ และมักชอบอ่านนวนิยาย ซึ่งช่วยจรรโลงความฝัน
         
            โดยสรุป เป็นคนที่ติดอยู่สัมผัสทั้งห้าและต้องกอบโกยแสวงหาสิ่งต่างๆ มาเพื่อสนองตอบรูปรสกลิ่นเสียง กล่าวสั้นๆ เป็นคนโลภ ติดวัตถุ ไม่สนใจเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากสัมผัสทั้งห้า ไม่คิดอะไรลึกซึ้ง ท่าทางดูดี คำพูดดูหรูหราพอหลอกตาคนได้ แต่แท้จริงแล้วภายในกลวงไม่มีสาระหรือแก่นสารอะไรลึกซึ้ง
         
            จุดแข็งจุดอ่อนของราคะจริต
            เป็นคนที่มีความประณีต จิตใจอ่อนไหว ละเอียดอ่อน จะสนใจเรื่องเล็กเรื่องน้อย อาจจะติดหยุมหยิม ดังนั้น จึงเหมาะกับทำงานประณีต ผลงานจะประณีต เรียบร้อย
         
            แต่เป็นคนช่างสังเกต สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ได้หมด มีความเมตตาสูง เพราะราคะกับเมตตาอยู่ในคลื่นค่อนข้างใกล้เคียงกัน
         
            มีความสามารถในการติดต่อประสานงานได้ดี เพราะสามารถเข้ากับทุกคนได้ดี พูดจาดี มีบุคลิกดี น่าดูน่าชมเป็นที่ชอบของคนที่พบเห็น เหมาะนักการทูต ประชาสัมพันธ์
         
            จุดอ่อนสำคัญของคนกลุ่มนี้คือ จิตเป็นสมาธิยาก ที่จริงแล้วเขาจะไม่สนใจการฝึกจิต ทำสมาธิ การขาดสมาธิทำให้ทำงานใหญ่ยาก
         
            ไม่มีเป้าหมายสำคัญในชีวิต นอกจากจะมุ่งเน้นการแสวงหาสิ่งต่างๆ มาสนองต่อสัมผัสต่างๆ ทำให้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระและไม่มีความสำคัญหรือจำเป็น
         
            เป็นคนชอบอิจฉาริษยา ใจ น้อย และช่างปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว ได้ยินคำพูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็นำมาปรุงแต่งเสียเป็นเรื่องใหญ่โต บางครั้งปรุงแต่งมากเสียจนไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริงอันไหนเป็นเรื่อง ที่ตัวเองได้ปรุงแต่งขึ้นมา และที่เป็นปัญหาก็เพราะว่าคนในจริตนี้มักจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองปรุงแต่งว่า เป็นจริง ทำให้สามารถอยู่ในชีวิตแห่งความฝัน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ท่ามกลางความเสียใจปวดร้าวใจ ความเครียดได้
         
            เป็นคนขี้เกรงใจจนเป็นคนขาดหลักการ ทำให้ไม่มีความเป็นผู้นำ แต่ชอบทำตัวเป็นผู้นำ แต่ด้วยความไม่มีหลักการ จึงมักสร้างปัญหาในองค์กร
         
            เป็นคนชอบพูดหวาน ทำ ให้ค่อนข้างพูดไม่ตรงกับความจริงค่อนข้างเก่ง และแนบเนียน จึงกลายเป็นคนมีเหลี่ยมจัดไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คำพูดฟังดูดีดูเพราะ แต่ยอกย้อน ไม่ตรงไปตรงมา
         
            เมื่อเบรกแตก ไม่ ได้ดังใจ ความนุ่มนวลจะเปลี่ยนเป็นอารมณ์รุนแรง ทำได้ทุกอย่างตามอารมณ์ เพราะไม่มีหลักการหรืออะไรอยู่ในตัวแน่นอน สิ่งที่เป็นกรอบอยู่คือการรักษาภาพลักษณ์ หากไม่สนใจภาพลักษณ์ตัวเองเหมือนไร ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ในแง่นี้จึงต่างจากโทสะจริตที่เป็นคนที่มีหลักเกณฑ์ หลักการเต็มไปหมด แม้จะโกรธง่ายแต่จะหลักเกณฑ์ต่างๆ ค่อยยั้งยั้งพฤติกรรมไว้ตลอด
         
            ถ้าท่านเป็นราคะจริต
            พิจารณาให้เห็นโทษของการที่จิตขาดสมาธิ ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวท่านอย่างไร และกระทบต่อภาพลักษณ์ของท่านอย่างไร
         
            กำหนดเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน มิฉะนั้นแล้ว จะเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ เช่น ขับรถไปไกลเพื่อทานของอร่อย เสียเวลาทะเลาะกับแฟน
         
            หมั่นสวดมนต์ พวก นี้ไม่ชอบสวดมนต์ ไม่ชอบสมาธิ ถ้าทำก็ทำแบบฉาบฉวย เหมือนแมวกลัวน้ำ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีสมาธิเพราะมีแต่สติ ไม่เชื่อในศาสนา เพราะยึดในรูปรสกลิ่นเสียง ควรพิจารณามรณานุสติ พิจารณาสิ่งสกปรก
         
            ถ้ามีหัวหน้าเป็นราคะจริต
            เนื่องจากเป็นคนไม่ตรง มอง ไม่ตรง ทำให้ปกครองด้วยความไม่ยุติธรรม เพราะมักชอบคนสวยหล่อ ทำให้จิตใจเอนเอียงไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว ดังนั้น หากเจอหัวหน้ามีจริตนี้ ต้องพยายามแต่งตัวให้ดี ทำงานให้ออกมาดูประณีต สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย
         
            พูดจาไพเราะหวานหู และให้ความเคารพเพราะถ้าไม่เคารพจะทำให้เขาไม่พอใจ อย่าไปวิจารณ์หัวหน้าในที่สาธารณะ หรือทำให้เสียหน้า จะโกรธอย่างไม่ให้อภัย
         
            ถ้ามีลูกน้องเป็นราคะจริต
            ไว้วางใจได้ เพราะเป็นคนละเอียดรอบคอบ ตั้งอกตั้งใจทำงานละเอียดอ่อน ต้องการเอาใจ สอนมากไม่ได้ พูดมากไม่ได้ แต่ถ้าชมแล้วจะเป็นปลื้มและจะสู้ตาย
         
            มอบหมายให้ทำงานที่ประณีตได้ ผลงานจะออกมาเรียบร้อย โดยเฉพาะหากมีระบบต่างๆ วางไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
         
            ชอบงานที่ได้หน้า เช่น ประชาสัมพันธ์ ที่ต้องโชว์รูปโชว์หน้า หรืองานตกแต่ง งานที่ติดต่อออกไปข้างนอก แต่เกลียดงานที่ต้องคิดอะไรลึกซึ้ง อย่าไปบังคับให้คิดเพราะเหมือนไปรีดเลือดจากปู
         
            ชอบเป็นผู้นำ แต่บ่อยครั้งจะคอยปกป้องลูกน้องในส่วนในฝ่ายตัวเอง จนบางครั้งกระทบผลประโยชน์ขององค์กร
         
            เนื่อง จากเป็นคนที่ชอบพูดคำหวาน หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เพราะหู ทำให้หัวหน้าอาจจะได้รับฟังได้ยินแต่เรื่องที่สวยงาม และอาจมีการปกปิดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ค่อนข้างเก่ง
         
            คน กลุ่มราคะะจริตนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับศาสตร์ตะวันตก ก็คือคนที่แสดงบทบาทของ “หมีตุ๊กตา” คือ การใช้ความนุ่มนวล หมีมีความเชื่อว่า ความขัดแย้งนั้นเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรให้ความขัดแย้งมาทำลายความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หมีพร้อมที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน ถ้าเป้าหมายนั้นไปทำลายความสัมพันธ์กับคนอื่น เรียกวิธีนี้ว่า “การใช้ความนุ่มนวล” คือ ให้ความสำคัญในเรื่องคน ชอบเอาอกเอาใจด้วยคำพูดหวานๆ แต่เป้าหมายเรื่องงานไม่สำคัญ
         
            หลาย ท่านคงเคยได้ยินคติประจำตัวของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หรือบิ๊กจ็อด ซึ่งท่านล่วงลับไปแล้ว ท่านถือคติว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” แต่คนกลุ่มราคะจริตนี้ จะทำตรงกันข้าม “พร้อมที่จะฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน” เพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้น หรือที่มีการพูดว่า “เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น” ต้องสังเกตให้ดีๆ จะได้รับมือได้ถูก


วิตกจริต
           ลักษณะพื้นฐานคือ พูดไม่หยุด ประเภท น้ำไหลไฟดับ ชอบแสดงความคิดเห็น มีคำถามเยอะแยะไปหมด เพราะได้ยินเสียงพูดตลอดเวลา สมองเต็มไปด้วยความคิด ฟุ้งซ่าน สับสนวุ่นวาย มีหลายความคิดซ้อนกันอยู่ แต่มักสรุปประเด็นสำคัญหรือจัดระบบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักมองว่า คนที่วิตกจริตมีปัญญาสูงเพราะเป็นคนที่สามารถคิดได้เร็ว พูดได้มาก ประเด็นเต็มไปหมด ฟังเผินๆ แล้วน่าประทับใจ ถ้าไม่คิดอะไรมาก
         
            วิตกจริต ไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ และ ไม่สามารถเลือกว่าจะคิดอะไรได้ การคิดมักจะย้ำคิดในทางลบ มองโลกในแง่ร้าย มักคิดว่าโลกชั่วร้าย คนอื่นจะพยายามเอารัดเอาเปรียบตัวเอง ไม่สามารถเชื่อใจใครได้ มักคิดในทางลบ เช่น การคิดอิจฉา คิดเรื่องต่างๆ ในแง่ไม่ดี และความคิดดังกล่าวจะผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นการย้ำคิดในทางลบ คนที่เป็นจริตอื่นๆ อาจไม่เข้าใจว่าคิดไปทำไม แต่ผู้เป็นวิตกจริตไม่อาจปิดความคิด เหมือนอยู่ในน้ำทะเลโดนคลื่นกระชากไปเรื่อย
         
            หน้าตาปกติจะบึ้ง ยิ้ม ไม่ออก ไม่มีความรู้สึก แต่มีอารมณ์รุนแรง คำพูดจะรุนแรง เพราะอยู่ในความคิด เช่น เวลาวิจารณ์คนมักใช้คำพูดรุนแรงทำให้คนชอกช้ำเกิดกรรมเวร คนทั่วไปมักไม่ค่อยชอบหน้า และมักถูกทำร้ายทางกายวาจาและใจ เป็นการย้ำการมองว่าโลกชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น และจะเป็นคนร้อนรุม แต่ในอีกด้านหนึ่งการพูดมาก คิดมาก ใช้พลังงานทำให้ดูเหนื่อยโทรม
         
            คนที่เป็นวิตกจริตจะมีปากกับใจไม่ตรงกัน เวลา พูดนัยน์ตาจะกรอกไปกรอกมา พูดอย่างคิดอย่าง และยังไม่ค่อยชอบรักษาสัญญา เพราะมีความคิดแยะผุดขึ้นมาตลอด คิดกลับไปกลับมา ประกอบกับมีอัตตาสูง มักกลัวเสียเปรียบ ถ้าเปลี่ยนสิ่งที่ได้สัญญาไว้ ก็เปลี่ยนตลอดเวลา มักซ่อนสิ่งตัวเองต้องการเวลาติดต่อกับคนอื่น แม้ในระยะสั้น จะสร้างความประทับใจให้กับคนที่พบเห็นได้ก็ตาม แต่ในระยะยาว พฤติกรรมการไม่รักษาคำพูด ทำให้ไม่ค่อยเป็นคนมีศักดิ์ศรี คนไม่เชื่อถือ
         
            เป็น คนที่แยกโลกแห่งความจริงและโลกที่ตัวเองคิดขึ้นมาไม่ค่อยได้ หลายครั้งหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ตัวเองคิดไปเองโดยไม่มองข้อเท็จจริง
         
            เป็นคนขยันขันแข่งหนักเอาเบาสู้ แต่ ผลที่ออกมาน้อย หรือไม่ค่อยได้ประโยชน์เพราะคิดมากฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ทำให้ไม่สามารถรักษาความสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดไว้ได้นาน และไม่สามารถรักษาสมาธิไว้ได้
         
            เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ มี อัตตาสูง หลงกับความคิด คิดว่าตัวเองเก่งกาจ โดยเฉพาะถ้าเจอกับคนที่เป็นโมหะจริตที่นิ่งๆ สงบ คิดน้อย เศร้าสร้อย อยู่กับอารมณ์ พูดไม่ทันแล้ว คนที่เป็นโมหะจริต จะรู้สึกสะบักสบอม
         
            อยากรู้อยากเห็น ไม่รู้จักเลือกว่า ควรจะรู้สิ่งใดสนใจสิ่งใด จึงมักจะสอดรู้สอดเห็นในสิ่งไม่มีประโยชน์ ใช้เวลาไม่ค่อยมีประโยชน์
         
            ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ชอบสัญญาแต่ไม่อาจรักษา เพราะมีความคิดเต็มไปหมด
         
            ทำงานรวดเร็วแต่ค่อนข้างหยาบ อาจปวดหัวไมเกรน
         
            การแต่งกาย จะจับโน่นประสมนี้ ให้ออกมาดูเด่นฉูดฉาด แต่ไม่สวยงาม เพราะไม่มีความรู้สึก มีแต่ความคิด
         
            จุดแข็งจุดอ่อน
            ข้อดีของจริตนี้คือ มีความคิดมาก สามารถ เอาความคิดที่เป็นประโยชน์มาใช้ ถ้าคุณเป็นจริตอื่นๆ โดยเฉพาะโมหะจริตก็ควรหาเพื่อนหรือคู่ครองเป็นวิตกจะได้ฟังความคิดมากมายที่ อาจใช้เป็นประโยชน์ได้
         
            เป็นนักพูดที่เก่ง สามารถจูงใจคนได้เก่ง ทำให้หลายคนกลายเป็นผู้นำในวงการต่างๆ หรือนักการเมือง
         
            เป็นคนละเอียด รอบคอบ เนื่อง จากโดยนิสัยของคนจริตนี้ จะลงประเด็นเล็กประเด็นน้อยอยู่แล้วโดยธรรมชาติ จึงสามารถเห็นความผิดเล็กความผิดน้อยที่คนจริตอื่นไม่เห็น หรืออาจไม่สนใจจะมอง กล่าวอีกนัยหนึ่งจริตนี้เป็นนักจับผิดเก่ง
         
            จุดอ่อนของ คนจริตนี้ที่สำคัญคือ มองไม่เห็นภาพใหญ่ เห็นแต่ภาพเล็กๆ เพราะจิตชอบใจประเด็นเล็กประเด็นน้อย หยุมหยิมมากจนบ่อยครั้งลืมภาพใหญ่หรือประเด็นสำคัญ แม้กระทั่งอาจจะลืมเป้าหมายที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่เพราะมุ่งให้ความสำคัญ กับกระบวนการจนเกินไป คิดมากเกินความจำเป็น ไม่สร้างสรรค์ ชีวิตเหนื่อยหน่าย ทำงานหนัก แต่ไม่มีผลตามที่ต้องการ
         
            การที่คนจริตนี้มักมองจุดเล็กจุดน้อยทำให้เห็นปัญหาได้ตลอดแต่หาทางแก้ไม่ได้ ทำให้เกิดความทุกข์กลายทุกข์ใจอยู่เป็นประจำ
         
            เป็นคนลังเลสังสัย มีความคิดมาก แต่ไม่กลั่นกรอง มักจะพูดออกมาได้เร็ว แต่ไม่ค่อยจะมีระบบ เป็นลักษณะฟุ้งซ่าน ไม่ตรงประเด็น เปลี่ยนแปลงความคิดตลอด เปลี่ยนจุดยืนตลอด ไม่ทำตามสัญญา เชื่อถือไม่ค่อยได้ แยกแยะความจริงไม่ได้ ในสังคมไทย อาจได้รับการยกย่องเพราะเป็นเจ้าความคิด ช่างพูดช่างเจรจา แม้ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่พูดออกมามักจะไม่ได้คิด กลั่นกรองเท่าไรก็ตาม
         
            นอก จากนี้ เป็นคนไม่ค่อยมีความรู้สึก ความรู้สึกแตกต่างจากอารมณ์ ความรู้สึกเกี่ยวกับวิจารณญาน การมีญาณสังหรณ์ แม้คนที่มีลักษณะวิตกจริตแม้จะมีความคิดมากมาย แต่จะไม่สามารถเลือกได้ ไม่มีวิจารณญานว่า อะไรถูกไม่ถูก เหมาะสมไม่เหมาะสม เพราะสมองไปติดด้านซ้าย จึงมักไม่รู้สึกว่า อะไรถูกอะไรผิด ไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น และไม่ค่อยสนใจสิ่งแวดล้อม
         
            ชอบคิดซ้ำในเรื่องอดีต เมื่ออยู่คนเดียว แต่เมื่ออยู่กับคนอื่นจะคิดเรื่องโน่นเรื่องนี้ จะมีความสุขเพราะคิดว่า ตัวเองสามารถคิดได้เร็วกว่า ดีกว่าคนอื่น
           ถ้าท่านเป็นวิตกจริต
            ค่อนข้างยากที่ปรับเปลี่ยน เพราะมักมีอัตตาสูง คิดว่าตัวเองเก่ง มี ความคิดพิสดารกว่าคนอื่น จึงรู้สึกว่าไม่ต้องการจะเปลี่ยนหรือปรับปรุงอะไร และไม่ได้เสียใจกับสิ่งต่างๆ ที่ได้ทำไปในอดีต ไม่ค่อยรู้ตัว เพราะตัวเองอยู่ในความคิดเกือบตลอดเวลา แตกต่างจากพวกโทสะจริตที่จะมีช่วงเวลาเสียใจในสิ่งที่ได้ทำไป และเห็นปัญหาของตัวเอง
         
            ประการแรก ท่านที่มีลักษณะวิตกจริตต้องเลือกความคิด อย่าให้ความคิดลากพาท่านไป ต้องเลือกคิดว่า ควรคิดไหม ควรทำไหม ถามตัวเองว่าคิดไปแล้วมีประโยชน์หรือไม่ ต้องรีบวางแผนชีวิตว่า ในชีวิตเราต้องการบรรลุอะไร
         
            ต้องฝึกนั่งสมาธิมากๆ เพราะคิดมากจิตเหนื่อย ไม่มีพลัง การนั่งสมาธิต้องนั่งแบบสมถภาวนา
         
            สร้างวินัย ต้อง สร้างกรอบเวลา เพราะจิตใจไม่มีกรอบเวลา จึงต้องสร้างกำหนดการ มิฉะนั้นแล้วจะไม่สามารถทำงานให้สำเร็จตาม deadline อาจต้องการเพื่อนที่เป็นโทสะจริตเพื่อสร้างระเบียบวินัย
         
            ต้องฝึกการมองภาพรวม คิด ทุกอย่างครบวงจร ไม่คิดเป็นจุดๆ เนื่องจากจิตจะลงลึกและลงรายละเอียดมาก จนมองไม่เห็นภาพรวมภาพใหญ่ ดังนั้น จะไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ที่กำลังประสบได้
         
            ถ้ามีเจ้านายเป็นวิตกจริต
            หากมีเจ้านายเป็นวิตกจริต มักจะมีพฤติกรรมทำให้ลูกน้อยกลุ้มใจ ที่ เห็นเด่นชัดก็คือ การที่เป็นคนมีความคิดมาก จึงมีหลายโครงการ ทำให้สั่งงานมากไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญก่อนหลัง แต่จะเร่งลูกน้องตลอดเวลา ไม่ทันที่เรื่องแรกจะเสร็จ ก็มีความคิดใหม่ผลุดขึ้นมาอีกแล้ว เรียกได้ว่า ลูกน้องต้องทำงานตัวเป็นเกลียวเหมือนมีเทียนลนก้นตลอดเวลา แต่ความคิดหรือโครงการนั้นจะเป็นประโยชน์ หรือสร้างสรรค์ต่อองค์กรมากน้อยแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ลูกน้องคงต้องเหนื่อยก่อน
         
            เป็นคนที่มองว่าตัวเองเก่ง ถ้า ลูกน้องความสามารถไม่ถึง จะถูกกด ดูถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจได้เสมอ ประกอบกับเป็นคนที่พูดไว คำพูดรุนแรง สามารถกล่าวคำเสียดแทงใจได้ง่ายๆ
         
            มีความคิดที่แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ปัจจัยใหม่เข้ามาได้เห็นได้ยิน ดังนั้น อาจต้องระวังว่า สิ่งที่เคยทำถูกในอดีต อาจกลายเป็นสิ่งไม่ถูกต้องไม่ชอบใจไปแล้ว
         
            ปากกับใจไม่ตรงกันเพราะ ต้องการแสวงหาประโยชน์ความมีหน้ามีตาเข้าตัวมากที่สุด ไม่สนใจว่าใครจะชอบใครจะเกลียด และพร้อมจะโยนความผิดให้ลูกน้อง หากมีความเป็นวิตกจริตในระดับสูงจะมีความเจ้าเล่ห์ สามารถเอาผลงานลูกน้องไป
         
            เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ในยามวิกฤตไม่อาจตัดสินในได้
         
            หากเจอหัวหน้าประเภทนี้ และท่านไม่ใช้วิตกจริตด้วย หากหลบได้ก็ควรหลบ แต่ถ้าหลบไม่ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าจริตนี้ต้องพูดห้ามนิ่ง เพราะถ้านิ่งเขาจะดูถูกว่าเขลา ไม่มีปัญญา การทำตัวเป็นที่น่าสงสารมักใช้ไม่ได้ผล เพราะไม่มีความรู้สึก เมื่อยามพูดควรใช้คำน้อย คมและตรงประเด็น จิตเขาจะตกใจ ต้องพยายามหาเหตุผลหักล้างให้ได้ เพราะเขาอยู่ในโลกความคิด ไม่มีความรู้สึก หากไม่อาจหักล้างความคิดเขาได้เป็นเปลาะๆ เขาก็จะเชื่อมั่นว่า เขาถูกต้อง ในส่วนนี้ต้องตั้งสติและสมาธิให้ดี เพราะน้ำเสียงของวิตกจริตจะรุนแรงเย้ยหยันอยู่แล้ว ประกอบความคิดของเขาจะมากมายพร้อมที่จะถล่มถลายความคิดของคนจริตอื่นๆ ได้อย่างสบาย
         
            หากเจอเจ้านายเป็นวิตกจริต เราต้องพยายามศึกษาว่าเขาสนใจอะไร แล้วหาข้อมูลในเรื่องนั้นให้ดี และพยายามพูดในเรื่องที่เขาสนใจ เขาจะติดในประเด็นนั้น และมักจะลงดิ่งไปเลย
         
            ถ้าคนยอมรับคุณเป็นลูกน้อง เขาจะใช้วิธีการช่วยเหลือได้ในทุกรูปแบบ
         
            หากมีลูกน้องเป็นวิตกจริต
            การ ที่เป็นคนเจ้าความคิดและคิดละเอียดจนเกินไป ถ้างานยากใช้ความละเอียดมากก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาสามารถคิดได้ลึกซึ้งและมีแง่คิดที่คนส่วนใหญ่นึกไม่ถึง แต่คนจริตนี้มักไม่สามารถแยกความแตกต่าง หรือจัดลำดับความสำคัญได้ดีนัก ผลก็คือ จะลงละเอียดไปหมดในทุกเรื่อง และเนื่องจากจะฟุ้งซ่านอยู่ โดยนิสัยจึงมองว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องโยงใยกันไปหมดโดยไม่คำนึงว่าจำเป็นหรือ สำคัญมากน้อยแค่ไหน ทำให้ทำงานล่าช้า ไม่มีผลงานออก แม้ส่งงานสายแต่ไม่รู้สึกเพราะหาเหตุหาผลว่า มีงานต้องทำมากมาย แต่ทำไม่เสร็จ แนวโน้มจึงจะชอบหมกงาน หากมีลูกน้องวิตกจริตต้องแก้ด้วยการให้ทำในกรอบแคบ แต่ให้ลงลึก อย่าให้ทำหลายอย่างพร้อมกัน ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนแต่ละวัน และต้องหมั่นตรวจสอบบ่อยๆ ว่าได้บรรลุเป้าหมายนั้นแล้วหรือยัง ไม่ควรสั่งงานสำคัญกับลูกน้องที่เป็นวิตกจริต และควรกำหนดกรอบว่าให้ทำอะไรและจะให้เสร็จเมื่อไร และต้องแนะนำว่าจะต้องทำอะไรในแต่ละวัน ควรทำอะไร อย่างปล่อยให้ว่างเพราะจะฟุ้งซ่าน
         
            ต้องคอยระวังในเรื่องการทำลายความสามัคคี เพราะ ชอบวิเคราะห์วิจารณ์ พูดในทางไม่ค่อยสร้างสรรค์ทำให้คนจริตอื่นไม่สบายใจไม่อยากร่วมงานด้วย และยิ่งผู้ที่เป็นวิตกจริตมาเจอกันเองแล้วโอกาสทะเลาะวิวาทกันก็มีสูง
         
            ไม่เคารพกฎเกณฑ์หาก มีช่องทางก็จะหาทางละเมิดกฎระเบียบต่างๆ โดยหาเหตุผลต่างๆนาๆเข้าข้างตัวเองเก่ง ดังนั้น ต้องคอยปรามตักเตือนไว้ทันทีที่ทำไม่ถูกต้อง และถ้าไม่ตักเตือน จะใช้การที่ไม่ตักเตือนมาเล่นงานหัวหน้าได้
         
            เป็นคนมีอัตตาสูงในด้านความคิด แต่ไม่มีความรู้สึก ไม่รักตัวเอง คิดจะทำลายตัวเอง และพร้อมจะดึงหัวหน้าตามไปด้วย
         
            คนกลุ่มประเภทที่ 4 “วิตกจริต” นี้ ดูจะน่ากลัวกว่าคนจริตอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว เพราะมักจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย มัก จะย้ำคิดในทางลบ เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ มีอัตตาสูง หยุมหยิม ชอบคิดว่าตัวเองเก่ง พร้อมที่จะโยนความผิดให้คนอื่น ชอบวิจารณ์ พูดจาไม่สร้างสรรค์ทำให้คนอื่นไม่สบายใจไม่อยากร่วมงานด้วย ทำลายความสามัคคี ทำลายบรรยากาศในการทำงานที่ดี องค์กรที่มีคนกลุ่มนี้มากๆ อาจทำให้เกิดภาวะเหนื่อยใจในการทำงาน เมื่อเจอคนที่เก่งแต่พูด บางครั้ง เรียกว่า “NATO” (No Action Talk Only)


ศรัทธาจริต
           เชื่อมั่นว่าตัวเองมีหลักการอุดมการณ์ คิด ว่าตนเองเป็นคนดีน่าศรัทธาประเสริฐมากกว่าพุทธิจริต เพราะคิดอย่างมีหลักการและพูดอย่างมีหลักการตลอด แต่คนที่มีศรัทธาจริต พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นคนมีปัญญาต่ำ เพราะมีความเชื่ออย่างรุนแรงว่าจะเป็นอย่างนั้น และจะไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น หากคนอื่นมีความคิดแตกต่างจากเราก็ไม่ยอมรับ ไม่ได้พิจารณาเหตุผล ไม่พิจารณา ต้องคิดถึงหลักกาลามสูตร อย่าเชื่อเพราะตามกันมา อย่าเชื่อเพราะเป็นศาสดา อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อเพราะเห็นว่ามีเหตุมีผลสอดคล้องกับความคิดของเรา โดยธรรมชาติเวลาเราสั่งสอนคนก็อยากให้คนอื่นเชื่อ คนพูดก็ให้รับฟังก่อน แต่หลังจากนั้น ให้ดูเหตุดูผล ตามสติปัญญาอำนวย พิจารณาให้เต็มที่ ถ้าเชื่อคนก็ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน
         
            ไม่รู้จักประนีประนอม ความ จริงมีอยู่หนึ่งเดียว คนไม่เห็นด้วยเป็นฝ่ายผิด ทำให้คนมีศรัทธาจริตไม่มีเมตตา เพราะคนมีความคิดไม่ตรงกันเราเป็นคนเลว ศรัทธาแรงๆ จะแยกแยะขาวดำ ไม่มีสีเทา คนคิดไม่เหมือนกันจะเอาเป็นเอาตาย
         
            มักจะทำกิจการโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา จะต่อต้านการทำแท้งโดยใช้ระเบิดบอมม์
         
            มีจุดบวก ถ้ามีพุทธิจริตด้วยจะเป็นพลังที่แรง แต่ถ้าไม่มีก็เหมือนมีเครื่องแรง แต่อาจวิ่งไปในทางผิดได้
         
            หากมีเจ้านายเป็นศรัทธาจริต
            มีกฏระเบียบมากมาย เช่น ต้องมาตรงเวลา แต่ตอนเย็นอาจอยู่ช่วย แต่เอารัดเอาเปรียบ
         
            พร้อมลงโทษด้วยความรวดเร็ว โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีความเมตตา
         
            ถ้าลูกน้องเป็นศรัทธาจริต
            เป็นบุญ เพราะ ตั้งใจทำงาน อยากเป็นคนดี อยากเป็นลูกน้องที่ดี มีความเคารพเจ้านาย แต่อาจไม่ยอมรับคำตำหนิ เพราะคิดว่าตัวเองดี และการที่คิดว่าตัวเองดีจึงชอบตัดสินคนรอบข้างและวิพากษ์วิจารณ์ หากคิดไม่เหมือนก็มองว่าเป็นคนเลว
         
            พุทธิจริต
            จะเรียนรู้เร็ว พูด อะไรเป็นเหตุเป็นผล ตัวกูของกูไม่สูงต่ำกว่าวิตกจริต พร้อมจะรับความคิดเห็นเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นสูงขึ้น จึงยอมรับความคิดใหม่ซึ่งมีเหตุผล จิตปักอยู่ในเหตุผล จึงตรงประเด็น ไม่เอาเปรียบ มีความเมตตาท่วมจิต เพราะคิดตามความเป็นจริง และไม่คิดในทางลบ ต้องการพัฒนาขัดเกลาจิตใจ ตลอดเวลา จึงเห็นปัญหาและทางแก้ เมื่อเห็นผู้อื่นจึงเกิดความเมตตาไปด้วย คนพูดเต็มไปด้วยสติและปัญญา แตกต่างวิตกจริต ที่พูดแยะทำแยะ แต่ผิดๆถูกๆ เป็นคนที่เชื่อถือได้
         
            หน้าตาผ่องใส แตกต่างกับวิตกจริต เพราะฟุ้งซ่านจึงเหี่ยวย่นเหนื่อยอเนจอนาถ พุทธิจริตจึงหน้าไม่ทุกข์
         
            มีสมาธิเข็มแข็ง มองโลกตามความเป็นจริง มีพลังซึ่งแตกต่างจากโมหะจริต ซึ่งไม่เบิกบาน เศร้า ถึงเวลาพูดก็ไม่พูด ไม่มีพลัง
         
            ตาสว่างไสว รู้ โทสะ ตาแข็งโปน เป็นประกายแห่งความเหี้ยมดุ โมหะ ตาเยิ้มแต่เศร้า ราคะจะเปล่งปลั่ง วิตกตาจะหลอก แหลก
         
            จะรู้จักสังเกตุสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นสีหน้า เพื่อที่จะปรับความคิด การพูด การกระทำของตัวเอง หาได้ลำบากในสังคม
         
            เป็นกัลยาณมิตร ต้อง การให้คนอื่นก้าวหน้า คบคนประเภทไหน ก็เป็นคนประเภทนั้น ควรคบคนที่สูงกว่าดีกว่าเราถ้าเลือกได้ แต่การให้ความช่วยเหลือต้องให้กับทุกคน การให้ความช่วยเหลือต้องทำโดยไม่ให้ตัวเองเดือนร้อน หากเรามีกำลังจิตไม่พอจะถูกครอบงำโดยคนรอบข้าง
         
            น้อยคนที่จะเป็นเพราะต้องมีเหตุผล ต้องมีพลังศรัทธาตามด้วย ความอยากที่จะรู้ จิตใจเป็นอย่างไร
         
            ถ้านายเป็นพุทธิจริต
            ควรทำงานด้วย เพราะชอบแนะนำชอบสอน ไม่ได้ตำหนิ เปิดให้ก้าวหน้าพัฒนา และพึ่งพาได้ และสามารถช่วยเหลือได้ เพราะเป็นคนมีธรรม และต้องการพัฒนา
         
            ถ้ามีลูกน้องเป็นพุทธิจริต
            สามารถพัฒนาได้ ให้ เป็นมือขวา รู้สูงต่ำ อะไรควรไม่ควร เลิกเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง ควรดูคนที่เราคุยด้วยเป็นประเภทอะไร จะทำให้เราเข้าใจเขา เพราะวิธีในการพูดคุยกับคนประเภทหนึ่งย่อมแตกต่างจากคนอีกประเภทหนึ่ง
         
            ข้อเสียของพุทธิจริต
            มีความมั่นใจมาก จิต ใจราบรื่น เป็นสุขดี ทำให้มีแรงเฉี่อย ทำให้ไม่ต้องการพัฒนาจิตใจด้านธรรม ไม่ต้องปรับปรุงเมื่อเจอพลังด้านลบ อาจเอาตัวไม่รอด หรืออาจจบลงด้วยความเครียด มึนงงว่าจะแก้ได้อย่างไร ไม่เข้าใจคนอยู่ในมุมมืดมุมอับ ต้องพึ่งธรรมว่าจะฝ่าฟันโลกไปได้






ขอขอบคุณบทความของ อ.บุญชัย โกศลธนากุล
         
           























































































































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น