จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติโรงรับจำนำ



ในสมัยก่อนโรงรับจำนำไม่ได้เป็นร้านอย่างในปัจจุบันหรอก แต่เป็นเพราะคนในสมัยก่อนที่มีปัญหาฝืดเคืองเรื่องเงินทอง ก็มักกู้หนียืมสินกันทั้งนั้น ยืมญาติบ้าง เพื่อนบ้านบ้าง ก็ตามแต่สะดวก ผู้ให้กู้ก็คิดดอกเบี้ยตามสมควรกันไป หลังจากที่การยืมเงินเริ่มขยายเป็นวงกว้าง ผู้ให้กู้ก็เปลี่ยนไอเดียจากการคิดดอกเบี้ยมาเป็นการใช้ทรัพย์สิน สิ่งของมาเป็นสิ่งค้ำประกันแทน นานวันเข้าการรับจำนำเริ่มเป็นที่นิยม จึงมีมนุษย์สมองใสคิดที่จะตั้งโรงรับจำนำขึ้นเพื่อเป็นศูนย์เชื่อมความ สัมพันธ์ ให้การบริการ และยังช่วยเหลือกับเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากทางการเงิน โดยให้เอาทรัพย์สินสิ่งของมาตีราคาและยึดเพื่อเอาไว้ค้ำประกันพร้อมกับคิด ดอกเบี้ยเพื่อเป็นค่าบริการ ซึ่งราคาและเวลาก็ตามแต่จะตกลงกัน เรียกได้ว่าถ้าใครไม่มาไถ่ของคืนตามกำหนดก็โดนยึดไปตามระเบียบ 


โรงรับจำนำแห่งแรกที่สุดในประเทศไทยก็ได้แก่โรงรับจำนำของจีนฮงหรือเจ๊กฮง ตั้งอยู่ที่ประตูผีหรือประตูสำราญฎร์ ในกำแพงพระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ (จุลศักราช ๑๒๒๘) ในปลายรัชกาลที่ ๔ จีนฮงคิดอัตราดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑ เฟื้อง (๑๒ สตางค์) ต่อ เงินต้น ๑ ตำลึง (๔ บาท)



ก่อนหน้านั้น ราษฎรต้องไปจำนำกันตามบ้านที่รู้จักกัน โดยคิดดอกเบี้ยถึง ๑ สลึง (๒๕ สตางค์) ต่อ เงินต้น ๑ ตำลึง (๔ บาท) ซึ่งแพงกว่าของจีนฮงและก็ไม่ได้ให้ตั๋วเป็นหลักฐาน ซึ่งบางครั้งก็อาจจะลืมหรือโกงกันได้

ส่วนโรงรับจำนำของจีนฮง ตั้งโรงเป็นหลักแหล่ง เป็นที่รู้จักกันว่าโรงรับจำนำ ใครจะเอาอะไรมาก็จำนำได้ ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันก็สามารถจำนำได้ทันที และมีการออกตั๋วให้เป็นหลักฐาน ดังนั้นราษฎรจึงนิยมมาจำนำที่โรงรับจำนำของจีนฮง
เมื่อกิจการโรงรับจำนำของจีนฮงเป็นที่นิยมดังกล่าว จึงได้มีผู้เอาอย่างและตั้งโรงและวิธีการอย่างโรงรับจำนำของจีนฮงบ้าง
ไม่ช้าก็เกิดมีโรงรับจำนำแบบจีนฮงเกิดขึ้นในกรุงเทพ ฯหลายสิบโรง และเมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๓ (ร.ศ. ๑๐๙) ปรากฏว่ามีโรงรับจำนำในกรุงเทพ ฯ ถึง ๒๐๐ โรงเพราะการตั้งโรงรับจำนำสมัยดังกล่าวไม่ต้องขออนุญาติและไม่ต้องเสีย ธรรมเนียมแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๘ (ร.ศ ๑๑๔ ) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติโรงรับจำนำรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๔ ขึ้นและโปรดเกล้า ฯ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๑๘ เป็นต้นไป
พระราชบัญญัติโรงรับจำนำดังกล่าว กำหนดดอกเบี้ยไว้ดังนี้
ถ้าเงินต้นไม่เกิน ๑ บาท ให้คิดดอกเบี้ ๓ อัฐ ต่อ ๑ เดือน
ถ้าเงินต้นเกิน๕๐ บาทแต่ไม่เกิน ๔๐๐ บาท ให้คิดดอกเบี้ยได้บาทละ ๒ อัฐต่อ ๑ เดือน
ส่วนในระยะเวลาในการไถ่ของที่นำมาจำนำกำหนดไว้ภายใน ๓ เดือน ปัจจุบันโรงรับจำนำในกรุงเทพฯมีมากมาย ส่วนต่างจังหวัดก้มีแทบทุกจังหวัด ทั้งของเอกชน และของทางราชการ โรงรับจำนำของเอกชนคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๒ ต่อเดือน แต่ของธนานุเคราะห์ (กรมประชาสงเคราะห์) และของธนานุบาล (เทศบาล) คิดอัตราดอกเบี้ยดังนี้ เงินไม่เกิน ๕๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยเดือนละ๑.๒๕ บาท เงินไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยเดือนละ ๑๕๐ บาท เงิน ๒.๐๐๐ แรกคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๒ บาทต่อเดือน เงินกว่านั้นคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๒๕ บาทต่อเดือน ระยะเวลาที่ให้ถ่ายถอนได้ กำหนดไว้ ๔ เดือน


 กิจการโรงรับจำนำดำเนินการมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า กิจการโรงรับจำนำนั้นมีทั้งผลดีและผลเสีย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เรียกได้ว่าหลังจากที่มีการตราพระราชบัญญัติขึ้นนั้น ก็ไม่มีใครที่มาขอตั้งกิจการโรงรับจำนำอีกเลย จนกระทั่งนายเล็ก โทณวณิก ได้ขออนุญาตตั้งโรงรับจำนำยี่ห้อ ‘ฮั่วเส็ง’ ซึ่งเป็นโรงรับจำนำที่คนไทยเป็นคนดำเนินกิจการเองเป็นคนแรกและแห่งแรกของ ประเทศ รวมทั้งยังจดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ ที่เขตบ้านหม้อ ถนนพาหุรัด  

 หลังจากที่นายเล็กมาขอจดทะเบียนจัดตั้งโรงรับจำนำแล้ว ก็เหมือนเป็นการเบิกทางให้กับผู้ที่ต้องการเปิดกิจการโรงรับจำนำ เพราะแม้ว่าจะต้องจดทะเบียนการจัดตั้งตามพระราชบัญญัตินั้น ก็ยังมีคนจำนวนมากที่นิยมจัดตั้งโรงรับจำนำอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งประชาชนเองก็มีความต้องการในการจำนำของมากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันโรงรับจำนำบางโรงฉวยโอกาสแอบขึ้นอัตราดอกเบี้ยนอกกฎหมาย โดยใช้วิธีเรียกเก็บเป็นเงินค่าธรรมเนียม ค่าบริการอื่นๆ ในการรับจำนำของ นอกเหนือไปจากดอกเบี้ยปกติที่จะต้องเสียให้กับทางโรงรับจำนำตามที่กฎหมายได้ กำหนดไว้อยู่แล้ว อาจเป็นค่าปากถุงบ้าง หรือค่ารักษาของจำนำนั้นบ้าง กดราคาค่าของที่นำมาจำนำบ้าง ตามที่จะเรียกกันไป แถมการเรียกเก็บค่าบริการดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุไว้ในตั๋วจำนำอีกด้วย ทำให้เจ้าของโรงรับจำนำได้เปรียบ และทำตามกันแทบจะทุกโรงรับจำนำ 
แต่การขึ้นราคาดอกเบี้ยนั้นกลับส่งผลให้ผู้ที่ต้องการมาจำนำของเดือดร้อนไป ตามๆ กัน ซึ่งหากผู้จำนำคนไหนไม่เสียค่าบริการตามที่โรงรับจำนำนั้นเรียกเก็บ ผู้จำนำก็จะถูกแกล้งให้ได้รับการตีราคาของในราคาที่ต่ำ จนผู้จำนำต้องนำของที่ต้องการจะจำนำกลับไป ไอ้เรื่องจะเอาผิดคิดคดีก็คงจะยากเพราะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แถมตั๋วที่ถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นเอกก็ไม่มีข้อมูลการเก็บค่าธรรมเนียมเหล่า นี้อยู่ ในขณะเดียวกันโทษของผู้ที่ทำผิดกฎหมายก็แค่โดนปรับในราคาถูก จึงทำให้เจ้าของโรงรับจำนำได้ใจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายที่มีอยู่
เมื่อความเดือดร้อนแผ่กระจายไปวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนลงความเห็นเดียวกันจนกลายเป็นประชามติ และขอให้รัฐบาลช่วยเหลือ และเมื่อทางรัฐบาลตรวจสอบดูแล้วว่าเป็นความจริง จึงได้มีการวางแผนที่จะจัดตั้งโรงรับจำนำของรัฐบาลขึ้นพร้อมกัน 2 โรงคือ ที่สะพานพุทธยอดฟ้าหนึ่งแห่ง และถนนเทอดไทอีกหนึ่งแห่ง โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือนเท่านั้น และไม่คิดค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ เลย หลังจากโรงรับจำนำของรัฐบาลเป็นที่นิยมและคุ้นเคยของประชาชนแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิด และจำชื่อโรงรับจำนำของรัฐบาลปะปนกับโรงรับจำนำของเอกชน จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ‘สถานธนานุเคราะห์’  
  ระบบการปฏิบัติการข้างในสถานธนานุเคราะห์ก็เอาวิธี การของโรงรับจำนำเอกชนมาใช้ ทำให้ระบบการทำงานไม่ต่างกันมาก เพราะที่ทางสถานธนานุเคราะห์เปิดให้บริการนั้น ก็เพื่อต้องการจะช่วยเหลือประชาชนให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของการขูดรีดจากหลงจู๊ หรือผู้รับจำนำในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยเท่านั้นเอง ในขณะเดียวกัน ทางราชการไม่ได้มีตำราทางด้านวิชาการในเรื่องของการเปิดโรงรับจำนำ คณะกรรมการควบคุมสถานธนานุเคราะห์จึงเห็นควรให้นำเอาหลัก และระบบการปฏิบัติงานของโรงรับจำนำเอกชนมาใช้ จะปลอดภัยกว่าการคิดระบบขึ้นมาเอง รวมทั้งจะช่วยให้การเปิดให้บริการแก่ประชาชนรวดเร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะใช้บริการโรงรับจำนำจึงไม่ต้องกลัวว่าทั้งสองที่จะ รับจำนำของแล้วให้ราคาไม่เหมือนกัน มีวิธีและรูปแบบในการปฏิบัติงานที่ต่างกัน สบายใจได้ว่าเข้าไปที่ไหนก็จำนำของได้เหมือนกัน ต่างกันที่ราคาดอกเบี้ยเท่านั้น
 ในปัจจุบันโรงรับจำนำมีสองรูปแบบคือ แบบของเอกชน ที่มีรูปแบบเหมือนสมัยก่อน เพียงแต่อัตราดอกเบี้ยเท่านั้นแหละที่เปลี่ยนไป แต่สำหรับโรงรับจำนำของรัฐบาลนั้นมีสองหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่คือ กระทรวงมหาดไทย ที่ดูแลสถานธนานุเคราะห์จากเดิมในสมัยก่อนจนมาถึงในปัจจุบัน และกรุงเทพมหานคร ที่ดูแลสถานธนานุบาล ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ.2503 โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกันกับสถานธนานุเคราะห์ นั่นคือ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนและยากจน จะได้ไม่ต้องไปกู้ยืมเงินจากเอกชน โดยจะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง และแม้จะมีทรัพย์ไปจำนำเพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายยามจำเป็น ก็อาจถูกโรงรับจำนำเอกชนเอาเปรียบเกินควรได้ นอกจากนั้นยังเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งพอมีทรัพย์สินอยู่ บ้าง แต่มีความต้องการเงินไปบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า โดยนำสิ่งของมาจำนำและเสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ
ในขณะเดียวกันยังเป็นการป้องกันมิให้โรงรับจำนำเอกชนเอารัดเอาเปรียบประชาชน ผู้มาจำนำโดยกดราคา เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา หรือเรียกค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในราคาสูงเพื่อตรึงระดับการเรียกเก็บดอกเบี้ยให้ลดน้อยลงจากเดิม เพราะถ้าประชาชนถูกโรงรับจำนำเอกชนกดราคาหรือเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูง ประชาชนก็จะพากันมาใช้บริการโรงรับจำนำของรัฐบาลนั่นเอง 
 ตั้งแต่โบร่ำโบราณมาจนถึงปัจจุบัน โรงรับจำนำทั้งของรัฐและเอกชนมีพนักงานตำแหน่งหลักอยู่ไม่กี่ตำแหน่ง แน่นอนว่ากำลังสำคัญของโรงตึ๊งคือหลงจู๊ สมัยก่อนถ้าใครอยากจะเป็นหลงจู๊โรงรับจำนำของรัฐบาล จะต้องมีการนำบุคคลที่มีหลักทรัพย์มาค้ำประกันความเสียหายหรือความบกพร่องใน ราคา 100,000 บาท ความจริงการค้ำประกันในรูปแบบนี้ไม่ต้องมีบุคคลมาค้ำประกันก็ได้ แต่เนื่องจากหลงจู๊ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญในการดูทรัพย์สินสิ่งของก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีหลักทรัพย์มาค้ำประกันตัวเอง จึงต้องใช้วิธีที่ให้บุคคลอื่นมาค้ำประกันแทนนั่นเอง

แต่ในปัจจุบันการจะรับตำแหน่งเป็นหลงจู๊ หรือผู้จัดการสาขาของสถานธนานุบาลได้นั้นนอกจากจะต้องสั่งสมประสบการณ์ในการ ดูของจำนำมานับ 10 ปีแล้วยังต้องมีหลักทรัพย์มาค้ำประกันความเสียหายหรือความบกพร่องในอัตราที่ มากกว่าเดิมเป็น 200,000 บาทเลยทีเดียว

เหตุที่จำนวนเงินในการค้ำประกันมากถึงขนาดนี้เนื่องจาก หากของชิ้นใดที่หลงจู๊หรือผู้จัดการรับผิดชอบรับจำนำมา เมื่อหลุดจำนำแล้วขายทอดตลาดไม่ได้หรือเมื่อตรวจสอบดูแล้วว่าเป็นของปลอม หลงจู๊ต้องเป็นคนรับผิดชอบซื้อของชิ้นนั้นคืนแต่เพียงผู้เดียว เสมือนเป็นหลักทรัพย์ที่ไว้สำหรับรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตี ราคาค่าของที่พลาดไป ในขณะเดียวกัน แม้ว่าจะต้องเสียวงเงินค้ำประกันในจำนวนที่สูงลิบลิ่ว แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์และโอกาสที่จะตีราคาของผิดพลาดนั้น เกิดขึ้นได้น้อยมาก จึงทำให้อาชีพนี้ยังเป็นอาชีพที่ได้รับความสนใจตั้งแต่คนยุคก่อนจนถึง ปัจจุบันเลยก็ว่าได้
อีกตำแหน่งที่เป็นกุญแจสำคัญของโรงรับจำนำคือพนักงานเก็บของ เพราะเขาคนนี้มีหน้าที่เก็บรักษาของจำนำทั้งหมด ดังนั้นจะต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ถ้าคนในตำแหน่งนี้ขาดความซื่อสัตย์ อาจก่อให้เกิดการยักย้าย ลักลอบ หรือสลับสับเปลี่ยนของจำนำ การที่จะทุจริตก็จะทำได้ง่ายมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหายุ่งยากที่อาจตามมาได้ในภายหลัง
ในโรงรับจำนำมีอีกตำแหน่งที่ไม่ได้รับผิดชอบเกี่ยวกับทรัพย์สินสิ่งของ แต่รับผิดชอบรายรับรายจ่ายของทางโรงรับจำนำทั้งหมด แม้ว่าเราจะไม่ค่อยเห็นหน้าพวกเขาเหมือนคนตำแหน่งอื่นๆ แต่ถ้าไม่มีตำแหน่งพนักงานทางการเงินและบัญชี โรงรับจำนำก็อยู่ไม่ได้ 

credit:ArtGaZine .com. thailand. 2003-2011







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น